Sunday, October 10, 2010

วิธีการดูแลรักษาเนื้อไม้

เนื่องจากไม้เป็นวัสดุธรรมชาติ ดังนั้นย่อมชำรุดเสียหายไปตามธรรมชาติ สภาพแวดล้อม แสงแดด ความชื้น การกัดกินของแมลง ดังนั้นการดูแลรักษาที่ถูกต้องจึงมีความจำเป็น ไม้ที่ได้รับการปกป้องดูแลที่ดี สามารถใช้งานได้หลายชั่วอายุคน

ไม้ที่แปรรูปออกจากโรงเลื่อย ดูไม่น่าสนใจ จนเมื่อผ่านกระบวนการทำสีและตกแต่งผิวแล้ว จึงขับความสวยงาม และคุณค่าที่มีอยู่ในเนื้อไม้ได้เด่นชัด ในสมัยก่อนช่างไม้ได้นำเอาวัสดุธรรมชาติ เช่นขี้ผึ้ง นำมันจากไม้บางชนิด มาใช้ตกแต่งผิว ปัจจุบัน ได้มีการคิดค้นวัสดุทั้งจากธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์ที่ดีนำมาใช้เคลือบผิวและตกแต่งสี ทำให้เพิ่มคุณค่าทั้งความงามและสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น

ขั้นตอนในการทำสีและตกแต่งผิว จะต้องพิถีพิถัน พื้นผิวต้องสะอาด ขัดผิวอย่างดี ปราศจากรอยตำหนิ ขั้นตอนการทำสีและตกแต่งผิวมีหลายแบบ ดังนี้

- การย้อมสีด้วยน้ำยา วู๊ดสเตน ป้องกันแสงแดด และน้ำซึมเข้าเนื้อไม้

- การตกแต่งผิวด้วยน้ำยา วาร์นิช แล็กเกอร์ เชลแลก เพื่อขับลายไม้

ก่อนจะทาน้ำยา ต้องเตรียมพื้นผิวให้เรียบ วัสดุที่นำมาเตรียมพื้นผิวควรใช้ให้เหมาะสมได้แก่

* ดินสอพอง มีลักษณะดินสีขาว เป็นก้อนหรือเป็นผง ผสมกับน้ำเพื่อให้นิ่ม ใช้อุดร่องเสี้ยน หรือลงพื้น

* สารกันซึมหรือซีลเลอร์ ใช้เคลือบรองพื้นวัสดุที่มีรูพรุน หรือใช้เคลือบวัสดุที่อาจปล่อยสารบางประเภท ออกมาทำให้ฟิลม์ของวัสดุเคลือบเสียหาย สารกันซึมถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่เดิมช่างใช้เชลแล็กเป็นตัวเคลือบผิว

* ฟิลเลอร์ ทำหน้าที่คล้อยดินสอพองอุดร่องไม้และอุดรอยแตกต่างๆ สามารถผสมกับสีย้อม สีฝุ่น ดินสี พื่อให้ได้สีตามต้องการ สามารถขัดถูด้วยกระดาษทรายเพื่อให้ผิวเรียบได้ง่าย

เมื่อเตรียมพื้นผิวได้ดีแล้ว ก็เลือกใช้วัสดุเคลือบผิวที่จะทำให้ไม้สวยงามและทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ ได้แก่

* แลกเกอร์ มีทั้งชนิดเงาและด้าน ใช้งานง่าย ทนต่อสภาพภูมิอากาศ และการขูดขีด

* เชลแล็ก เป็นน้ำยาทาไม้ชนิดหนึ่งให้ความสวยงาม ทนทาน

* วาร์นิช หรือน้ำมันชักเงา ใช้ทาชิ้นงานเพื่อให้เกิดเงางาม ใส สวยงาม มักใช้กับเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน

No comments: